ขึ้นชื่อว่าเกาะหลีเป๊ะ อันเป็น Dream Destination สถานที่ท่องเที่ยวในฝัน นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ต่างก็เดินทางมาที่นี่ เพื่อชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติทางทะเล พักผ่อน ชมวิว ดำน้ำ ทัวร์รอบเกาะต่างๆ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ไม่ว่าจะเป็น เกาะอาดัง เกาะราวี เกาะหินงาม เกาะรอกลอย เกาะไข่ และอีกหลายๆ เกาะที่อยู่รายล้อมในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เกาะหลีเป๊ะอันเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่หลายคนจะต้องมาค้างที่นี่เพื่อไปเที่ยวเกาะรอบๆ ตั้งอยู่ห่างจากท่าเรือปากบารา อำเภอละงู ถึง 67 กิโลเมตร ในอดีตมีเรือโดยสารรับ-ส่ง ใช้เวลาเดินทางนานกว่า 5 ชั่วโมง หลังจากที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปมากขึ้นจึงมีเรือสปีดโบ๊ทและเรือนำเที่ยวอื่นๆ ตามมา แต่สปีดโบ๊ทก็ใช้เวลาเดินทางถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าหลายคนต้องค้างบนเกาะ แล้วค่อยกลับวันรุ่งขึ้น ความต้องการห้องพักบนเกาะก็มีมากขึ้นในขณะที่จำนวนห้องพักที่มีอยู่ก็มีอย่างจำกัด ราคาจึงถีบตัวขึ้นไปหลายคนคงรู้ดีว่านอนที่เกาะหลีเป๊ะ ค่าใช้จ่ายจะสูงมาก นักท่องเที่ยวชาวไทยจึงไปกันน้อยกว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
วันนี้เราก็เลยนำเสนอ เส้นทางการท่องเที่ยวด้วยบริการเที่ยวเกาะหลีเป๊ะแบบวันเดียวกลับ หรือเดย์ทริป เหมือนกับการไปเที่ยวเกาะห้อง หรือเกาะทะเลแหวกของจังหวัดกระบี่ ได้เที่ยวเกาะสำคัญๆ สวยๆ ครบทุกเกาะ ในราคาประหยัด ในช่วงนี้เป็นช่วงเริ่มให้บริการ จึงมีทัวร์เพียงรายเดียวที่จัดโปรแกรมวันเดย์ทริป ก็คือ อาดัง ซี ทัวร์ แอนด์ ทรานสปอร์ต (Adang Sea Tour And Transport) http://www.adangseatour.com/
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่ Tel. 074-783338, 081-7380803, 087-2875883 Email: adang_sea_tour@hotmail.com , adangseatour1994@gmail.com
ติดต่อสอบถาม:
Tel. 074-783338, 081-7380803, 087-2875883
Send email
อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ที่เราเห็นเป็นอาคารที่แสนสง่า นึกว่าอาคารท่าเรือปากบารา ที่จริงแล้วเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยาน ปกติเมื่อถึงฤดูกาลท่องเที่ยวเราจะเห็นรถเข้าๆ ออกๆ ที่ลานจอดรถตรงนี้ตลอดทั้งวัน แล้วจะเงียบหายไปในตอนเย็น คนมาเที่ยวเกาะหลีเป๊ะที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติตะรุเตากันมาก ศูนย์บริการฯ ก็เลยตั้งรอรับอยู่บนบกตรงท่าเรือซะเลย เข้าไปด้านในก็จะเห็นป้ายแผนที่หมู่เกาะต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของอุทยาน แน่นอนว่ามีเกาะหลีเป๊ะอยู่ในนี้ด้วย เป็นเกาะที่มีขนาดเล็กมากลองหาดูจะเห็นว่าเล็กกว่าเกาะอืนๆ ไม่รู้กี่เท่า แต่คนนิยมไปเที่ยวที่นี่มากกว่าที่ไหนๆ คงเป็นเพราะเกาะหลีเป๊ะนั้นอยู่นอกพื้นที่ควบคุมของอุทยานแห่งชาติ มีพื้นที่ที่ออกโฉนดสามารถสร้างรีสอร์ท โรงแรม ร้านค้าขึ้นมากมายไว้บริการนักท่องเที่ยว ส่วนจะไปเที่ยวเกาะอื่นๆ เค้าจะใช้วิธีการเหมาเรือเที่ยวแบบแพคเกจวันเดย์ทริป
แล้วถ้าเกิดว่า พวกเราจะลองเที่ยวทุกเกาะแบบวันเดย์ทริปบ้างละ ไม่ต้องไปค้างบนเกาะหลีเป๊ะได้มั้ย คุณเข้ามาอ่านถูกที่แล้วละ เพราะเรื่องราวในบทความนี้จะพาไปทัวร์เกาะหลีเป๊ะ แบบวันเดียวก็เที่ยวได้
ออกเดินทางจากปากบารา ก่อนอื่นที่เราจะมายืนรอเรืออยู่ตรงนี้ เราต้องไปติดต่อบริษัททัวร์ที่ให้บริการทัวร์เกาะหลีเป๊ะแบบวันเดียว ซะก่อน นั่นก็คือ อาดัง ซี ทัวร์ แอนด์ ทรานสปอร์ต (Adang Sea Tour And Transport) ที่อยู่รอบๆ ลานจอดรถหาไม่ยากหรอก พอเข้าไปติดต่อซื้อทัวร์ ราคา 1990 บาท (ค่าเรือ ค่าธรรมเนียมท่า ค่าอาหารกลางวัน มีสน๊อกเกิล ชูชีพ เบ็ดเสร็จ ประหยัดดีจัง) เราจะได้บัตรขึ้นเรือและบัตรค่าธรรมเนียมท่าเรือมาอย่างละใบ เอาบัตรค่าธรรมเนียมยื่นให้เจ้าหน้าที่ตอนเดินเข้าอาคารมา แล้วเดินมาหาเรือที่ระบุในบัตร จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูให้ เพราะเราจะได้สติ๊กเกอร์มาติดหน้าอก ว่าเราจะไปลำไหน แค่นี้เองง่ายๆ
เกาะไข่ พอขึ้นเรือได้ เรือก็จะออกเดินทางจากท่าเรือปากบารา พาเรามาที่เกาะไข่เป็นแห่งแรก ใช้เวลานั่งเรือกันนานโข ขนาดเป็นสปีดโบ๊ทนะเนี่ย ใครจะเมาเรือจัดการกินยาให้เสร็จก่อนลงเรือ พอมาถึงเกาะไข่ เรือก็จะเอียงไปด้านหนึ่ง เพราะหลายคนพากันแย่งถ่ายรูปเกาะตั้งแต่เรือยังไม่จอดฝั่ง
ซุ้มวิวาห์ใต้สมุทร เป็นสัญลักษณ์ของเกาะไข่แห่งนี้ พอเรือจอดได้เท่านั้นแหละทุกคนก็รีบลงจากเรือมุ่งหน้าไปที่ซุ้มนี้ทันที น้ำทะเลสีเขียวใส ทรายสีขาวยื่นยาวไปในทะเล จังหวัดสตูลใช้ซุ้มหินธรรมชาติแห่งนี้เป็นสถานที่จัดงานวิวาห์ใต้สมุทร เป็นประจำทุกปี เราจะมีเวลาในการชื่นชมธรรมชาติถ่ายรูปบนเกาะไข่ประมาณ 30 นาที
ซุ้มวิวาห์ใต้สมุทร มาดูใกล้ๆ กันอีกสักภาพ ซุ้มนี้มีขนาดใหญ่มาก คนเดินลอดช่องได้พร้อมกันหลายๆ คนเลย ข้างซุ้มใหญ่ยังมีซุ้มเล็กๆ น่ารักๆ อีกด้วย ขนาดซุ้มเล็กยังจูงมิอกันเดินลอดได้ทีละ 2 คนเลยนะ
โป๊ะกลางทะเลหลีเป๊ะ ความแตกต่างข้อหนึ่งของการมาเที่ยววันเดย์ทริป แบบทัวร์เกาะหลีเป๊ะวันเดียวก็เที่ยวได้ ของเราก็คือ เรามาเข้าฝั่งด้านหาดบันดาหยา ไม่เหมือนกับตอนที่เราจองที่พักแล้วมาเที่ยวค้างคืนเราจะจองที่ Mountain View หาดจะต่างกันเยอะ แล้วมาบันดาหยา ก็ต้องเอาเรือเรามาจอดที่โป๊ะกลางทะเล แล้วไปต่อเรือหัวโทงของชาวบ้าน เข้าฝั่ง เป็นการกระจายรายได้ให้กับชาวบ้านในละแวกนี้ ค่าเรือหัวโทงไม่ต้องสนใจ เพราะแพคเกจของเรารวมทุกอย่างหมดแล้ว
เกาะหลีเป๊ะ ตรงนี้ที่เราย่างเท้าขึ้นฝั่ง เรียกว่าหาดบันดาหยา ด้วยเสียงที่คล้ายๆ กัน ชาวต่างชาติชอบเรียกหาดนี้ว่า พัทยา จนเรียกต่อๆ กันมานานเหมือนกัน แต่ตอนนี้เรากำลังจะปรับให้เรียกว่าบันดาหยาให้หมด รีสอร์ทที่อยู่ริมหาดที่เคยใช้ชื่อว่า พัทยาบีชรีสอร์ท ก็เปลี่นเป็นบันดาหยาบีชรีสอร์ท เป็นต้น บนเกาะเล็กๆ อย่างเกาะหลีเป๊ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่า แค่อยู่คนละด้านของเกาะจะต่างกันมากขนาดนี้ ถ้าไม่ได้มาเดย์ทริปเกาะหลีเป๊ะ ก็ยังคงคิดว่าเกาะนี้เป็นเกาะเงียบๆ สงบๆ มีหาดเล็กๆ มีรีสอร์ทบนเขา มีคนแวะเวียนมาเที่ยวแล้วก็ไป ก็เท่านั้นเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ หาดสวย ทรายขาว น้ำใส และท้องฟ้าสีครามที่ทำให้ภาพที่เห็นเบื้องหน้าเป็นเหมือนเกาะสวรรค์กลางทะเล เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนข้ามฟ้ามาแสนไกลมาเที่ยวและพักผ่อนที่เมืองไทย เปรียบเหมือนอัญมณีอันดามันเลยละ
หาดบันดาหยา เกาะหลีเป๊ะ หาดแห่งนี้ยิ่งดูก็ยิ่งไม่เหมือนเกาะหลีเป๊ะที่เคยมาคราวก่อน รีสอร์ท ร้านอาหาร บาร์เล็กๆ ขึ้นอยู่ตามชายหาดจนแน่นไปหมด แต่ก็ยังดีที่บนหาดทรายยังไม่เห็นขยะถูกทิ้งรกๆ เพราะที่นี่มีการดูแลกันอย่างดี กลางวันที่หาดแห่งนี้ดูเงียบๆ แต่พอย่ำค่ำก็จะมีคนมาเดินกันเต็มไปหมด
เกาะหลีเป๊ะ เดินมาจนถึงกลางหาดที่ยาวเอามากๆ รวมๆ แล้วน่าจะประมาณ 1 กิโลเมตร (กะเอา) ตรงนี้เป็นบริเวณที่จะมีฝรั่งมานอนอาบแดดกันเยอะ ส่วนที่เห็นบนเขาลิบๆ ก็คือรีสอร์ท ถ้าได้ขึ้นไปแล้วถ่ายรูปหาดคงจะเห็นทั้งหาดเป็นแน่ แต่ที่เราพามาที่นี่ไม่ใช่มาเดินชมหาด เราจะพามาดูความแตกต่างของหาดบันดาหยา กับหาดเมาเท่น วิว ของเกาะหลีเป๊ะ กัน
ถนนคนเดินเกาะหลีเป๊ะ ไฮไลท์ของหาดบันดาหยา ก็คือถนนคนเดินแห่งนี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เพิ่งเปิดไม่นานเท่าไหร่ บางร้านก็ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและตกแต่ง กลางวันดูเงียบๆ จะมีคนเดินเยอะในช่วงเย็นๆ ลองเข้าไปดูดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
ถนนคนเดินเกาะหลีเป๊ะ ปากซอยจะเป็นร้านเล็กๆ ส่วนใหญ่เป็นแพคเกจเที่ยวเกาะ ดำน้ำ ร้านเครื่องดื่ม กาแฟ พอเดินลึกเข้ามาหน่อยจะเริ่มมีร้านอาหาร อาคารที่สร้างก็จะดูเป็นตึกถาวรกว่าด้านนอก เดินเที่ยวที่นี่ มีอาหารนานาชาติให้ชิมหลากหลายเมนูดี ร้านค้าที่เปิดบริการในถนนคนเดินจะมีรายการเป็นหลากหลายภาษาด้วย ยังกับไม่ใช่เมืองไทย
เกาะราวี หลังจากเดินช้อปอะไรนิดๆ หน่อยๆ บนเกาะหลีเป๊ะ ชมวิวเล็กน้อย ก็ได้เวลาขึ้นเรือ จากเกาะหลีเป๊ะก็มุ่งหน้าไปที่เกาะราวี เป็นเกาะขนาดใหญ่กว่าเกาะหลีเป๊ะหลายสิบเท่า ที่จริงอยากเขียนว่าเป็นร้อยเท่าแต่จะดูเวอร์ไปหน่อย แต่แปลกที่เวลามาเที่ยวเกาะหลีเป๊ะ ทุกคนจะมุ่งหน้ามาที่นี่ ที่ๆ มีหาดทรายสีขาวทอดยาวตั้งแต่ซ้ายไปจนด้านขวาของเกาะ เวลาที่เรามองจากกลางทะเล ที่นี่ก็คือหาดทรายขาวนั่นเอง
ชื่อหาดทรายขาวของเกาะราวี เป็นชื่อที่สมกับสถานที่มากๆ สีขาวของทรายที่สะอาดตลอดแนวหาดใกล้ๆ หาดทรายเป็นเขตดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น ทะเลสีเขียวมรกตใสๆ มองเห็นพื้นทรายด้านล่างเป็นเสน่ห์ที่ของเกาะราวี
หาดทรายขาว เกาะราวี คนที่เคยมาที่นี่ ย่อมเป็นอันรู้กันว่า สัญลักษณ์ของหาดทรายขาว คือต้นไม้ต้นนี้ ต้นไม้ที่ตายแล้วล้มลง อยู่คู่กับหาดทรายขาวของเกาะราวีมานานปี จากจุดจอดเรือเดินมาด้านขวาเกือบสุดหาดทราย ใครๆ ก็ต้องมาถ่ายรูปกันตรงนี้
กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่เกาะราวีที่ไม่ควรพลาด คือการดำน้ำดูปะการัง เจ้าหน้าที่กั้นทุ่นแบ่งเขตดำน้ำเอาไว้ให้เพื่อความปลอดภัย จำได้ว่าตอนมาที่นี่เมื่อหลายปีก่อน คนจะเยอะมากๆ แล้วก็เกาะเชือกไต่ไปรอบๆ ปะการังวันนั้นไม่สวยเท่าวันนี้ เพราะเพิ่งฟื้นตัวจากภัยธรรมชาติ
ลิง เกาะราวี การเดินทางมาแต่ละเกาะในโปรแกรมเดย์ทริป ใช้เวลากันพอสมควร มาถึงที่เกาะราวี ก็เป็นอันได้เวลาบ่ายนิดๆ อาหารกลางวันจะเตรียมไว้ให้เราที่ม้านั่งบนเกาะ ถ่ายรูปเสร็จก็เดินมากินได้เลย เป็นข้าวกล่องพลาสติกอย่างดี ส่วนบนเกาะมีหน่วยพิทักษ์ กับเจ้าหน้าที่อยู่ มีของเล็กๆ น้อยๆ ขาย ได้แก่ มาม่า กาแฟ ส้มตำ ไก่ทอด ข้าวเหนียว ถ้าข้าวกล่องไม่อิ่ม ก็สั่งอาหารบนเกาะมากินได้ นั่งกินไปก็ดูนกดูลิงไป เพลินดี ลิงพวกนี้ก็เหมือนลิงทั่วไป อย่าเผลอวางอะไรไว้โดยไม่มีคนดูเดี๋ยวหาย บางทีมันก็ลงไปขอนักท่องเที่ยวถึงที่เรือเลยก็มี
เกาะยาง อิ่มหนำสำราญกับมื้อกลางวันแสนอร่อยบนเกาะราวี ออกเดินทางกันต่อในช่วงบ่าย สถานที่ต่อไปก็คือเกาะยาง อยู่ใกล้ๆ กับเกาะราวี นั่งเรือ 2 นาทีกว่าๆ เห็นจะได้ เรือก็ชะลอแล้วก็ทิ้งสมอห่างจากชายหาดพอสมควร คนขับก็แจ้งให้เรารู้ว่า จุดนี้เป็นจุดดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น นับเป็นจุดที่ 2 ของทริปนี้ เราก็ค่อยๆ ทยอยลงน้ำพร้อมชูชีพและสน๊อกเกิล ตามไกด์ไปตรงที่จะพบอะไรสวยๆ ใต้ทะเล
พอลงน้ำจุ่มหน้าลงทะเล เราก็เห็นไกด์นำทางดำน้ำลงไปถ่ายรูปใต้ทะเล ถ้าเราดำไม่ไหวก็ต้องฝากกล้องให้น้องเค้าไปถ่ายให้ ไกด์จะพาเราไปชมปลาการ์ตูน นีโม่ ปะการังอ่อน ปลาสวยๆ แล้วก็อีกมากมายหลายอย่างเท่าที่จะเจอ เพราะไกด์เค้าจะดำน้ำบริเวณนี้อยู่เป็นประจำ รู้จุดสำคัญต่างๆ ทำให้เราประหยัดเวลาในการว่ายน้ำหา
ปะการังอ่อน ภาพปะการังสวยๆ ใต้ทะเลจังหวัดสตูล อันเป็นที่รู้กันดีว่า เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุด แม้ว่าจะเสียหายจากคลื่นยักษ์ แต่เวลาเนิ่นนานกว่าสิบปี ธรรมชาติก็ฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาใหม่ อวดความสวยงามให้เราได้เห็นอีกครั้ง จำได้ว่าเคยมาดำน้ำหลายปีก่อนไม่เจอปะการังสวยๆ พวกนี้เลย ปะการังอ่อนจะมีหลายสี มีรูปมาให้ดูหลายรูปจากการดำน้ำที่เกาะยาง แต่เลือกมาให้ดูรูปที่ถ่ายมาชัดที่สุด ที่นี่จะมีปะการังหลายสี ได้แก่ ขาว แดง ชมพู ระดับน้ำไม่ลึกมาก และก็ใสมาก แสงแดดส่องลงไปถึงใต้น้ำ ภาพที่ได้ก็เลยทั้งสวยทั้งชัด นี่เป็นครั้งแรกหลังซึนามิที่ได้มาดำชมปะการังแบบนี้ ประทับใจสุดๆ เลย ไกด์จะพาเราไปดูด้วยตัวเอง ก่อนจะเอากล้องเราไปถ่ายรูปมาให้ ถ้าใครดำเก่งก็ดำลงไปถ่ายเองได้
ปลาการ์ตูน นีโม่ หนึ่งในตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล ปลาการ์ตูนที่เราชอบเรียกกันว่าปลานีโม่ จะอยู่กับดอกไม้ทะเล ทำรัง เมื่อวางไข่ก็จะเฝ้ารังเหมือนที่เราดูในการ์ตูน จุดดำน้ำที่สตูลหลายๆ จุด ถ้าเจอดอกไม้ทะเลแล้วไม่เห็นปลาการ์ตูน ลองเฝ้ารอดูไม่เกิน 5 นาที เราจะเห็นนีโม่ของเราโผล่ออกมา หน้าตาน่ารักแบบนี้ละ ทุกๆ กอที่เป็นดอกไม้ทะเลที่เราเห็นในทริปนี้ เราจะเฝ้ารอพิสูจน์ว่ามีนีโม่อยู่ทุกกอหรือเปล่า ปรากฏว่าอยู่กันทุกกอที่เราเห็นเลย ลองไปดูไม่ผิดหวัง
ร่องน้ำจาบัง สถานที่ต่อมาตามโปรแกรมวันเดียวเที่ยวหลีเป๊ะของเราก็คือร่องน้ำจาบัง ใครๆ ไปเที่ยวสตูลแล้วชื่นชอบการดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น คงต้องรู้จักชื่อร่องน้ำจาบังกันมาแล้วทั้งนั้น เพราะเป็นจุดที่มีปะการังสวยงามหลายสีและสมบูรณ์มากจุดหนึ่ง เสียอย่างเดียวที่บริเวณนี้น้ำทะเลไหลเชี่ยวมาก ใครไม่เคยเห็นน้ำไหลในทะเลก็ลองมาดู เหมือนในการ์ตูนเรื่องนีโม่ ที่จะมีร่องน้ำในทะเลที่ไหลแรงมาก ไม่กี่นาทีเราก็ไหลไปไกลจากเรือจนยากที่จะว่ายกลับมาที่เรือ คราวก่อนไม่มีเชือกโยงให้จับ (หลายปีมากแล้วนะ) ตอนนั้นจำได้ว่าดำน้ำลงไปแป๊บเดียวเงยหน้าขึ้นมาเรืออยู่ไกลลิบ ต้องว่ายกลับมาหาเรือแทบแย่ ตอนนี้มีเชือกทุ่นโยงไว้ให้จับ ไกด์จะตะโกนบอกตลอดเวลาว่าให้จับเชือกใครไม่จับต้องเชิญกลับขึ้นเรือ ทั้งที่จริงแล้วไม่ต้องบอกเราก็จับ ประสบการณ์คราวที่แล้วที่น้ำพัดไปหลายสิบเมตรยังคอยหลอกหลอนอยู่
เผลอแป๊บเดียวไกด์ของเราก็ไปดำอยู่ใต้น้ำลึกพร้อมกล้องของน้องๆ ร่วมทริปเป็นที่เรียบร้อยพอเค้าขึ้นมาเราก็ฝากกล้องเราให้เค้าถ่ายบ้าง แล้วค่อยมารู้ทีหลังว่า ถ้าสาวเชือกไปเรื่อยๆ จนสุดเราจะเห็นโขดหินขนาดใหญ่ที่มีปะการังอ่อนขึ้นหนาๆ สวยๆ โดยไม่ต้องดำน้ำลึกๆ เลยละ ส่วนเรือลำไหนจอดใกล้จุดนั้นก็ไม่ต้องสาวเชือกไปไหนแล้ว แค่จุ่มหน้าลงน้ำก็สวยเลย
เกาะหินงาม ดำน้ำร่องจาบังเหนื่อยพอได้ที่ เพราะปะการังมันสวยแต่ไปไหนไม่ได้มากเนื่องจากน้ำเชี่ยวเราเลยใช้เวลากันไม่มาก สาวเชือกไปสุดแล้วก็ปล่อยให้น้ำพัดกลับเรือ อ้อจอดห่างจากจุดที่ปะการังสวยก็มีข้อดีคือขากลับไม่ต้องว่ายน้ำเลยน้ำพาเรามาที่เรือเอง
พอขึ้นเรือได้ เรือก็พาเรามาที่เกาะหินงาม เกาะแห่งนี้เคยมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน มีคนเล่าว่าเกาะหินงามเมื่อหลายสิบปีก่อนเป็นเกาะขนาดใหญ่มีหินเยอะมาก คนก็มาเที่ยวมากแล้วหยิบเอาหินกลับไป หินก็ร่อยหรอลงอย่างน่าเสียดาย ตอนนี้มีเจ้าหน้าที่มาคอยเฝ้าในฤดูท่องเที่ยวไม่ให้คนหยิบเอาหินไป อีกอย่างบนเกาะมีศาลเจ้าพ่อหินงามตั้งอยู่ เชื่อกันว่าคนหยิบเอาหินไปจากเกาะจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นเนื่องจากคำสาปของเจ้าพ่อหินงามด้วย
เมื่อก่อนที่เคยมาเกาะหินงามเราจะเห็นคนเอาหินมาซ้อนกันแบบนี้ ตามความเชื่อเรื่องโชคดวงอะไรต่างๆ หลังจากนั้นมาก็มีประกาศห้ามเรียงหินแบบนี้จากอุทยานฯ ทุกวันนี้เราจะไม่เห็นหินพวกนี้เรียงเป็นชั้นๆ อีกแล้ว แต่ก็อนุโลมให้ได้ สำหรับคนที่จะซ้อนหินเพื่อถ่ายรูปเสร็จแล้วก็เอาลงไว้ตามเดิม
ภาพใต้น้ำเกาะหินงาม ดูรูปเกาะหินงามของแต่ละคนที่ถ่ายมามุมกล้องก็คล้ายๆ กัน จนไม่รู้ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนมานำเสนอ เลยเอากล้องกันน้ำที่ติดตัวมาลองถ่ายภาพใกล้ๆ ฝั่งที่น้ำซัดถึง ได้ภาพมุมแปลกๆ มาให้ชม คลื่นที่ซัดเข้ามาหาเกาะหินงามจะค่อนข้างแรง หินเหล่านี้ก็ถูกขัดด้วยฝีมือของธรรมชาติจนมีรูปร่างโค้งกลมสวยกว่าหินทั่วไป สิ่งที่น่าสงสัยก็คือใกล้ๆ ฝั่งมีปลาอยู่บ้างหรือเปล่า พอเอากล้องจุ่มลงไปในน้ำแล้วถ่ายมาก็เจอลูกปลา 2-3 ตัวว่ายน้ำเล่นเหมือนๆ กับที่เกาะอื่นๆ ที่เป็นหาดทรายเหมือนกัน
ดำน้ำเกาะหินงาม หลังจากถ่ายรูปหินสวยๆ แปลกๆ อยู่พักใหญ่ก็ได้เวลาที่เราจะไปเที่ยวกันต่อ ไกด์มาตามเราให้ขึ้นเรือแล้วออกเรือวิ่งอ้อมเกาะหินงามมาอีกด้านหนึ่งที่ไม่มีหินสวยๆ แต่เป็นจุดดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น วันนี้เราให้ไกด์ถ่ายรูปใต้น้ำให้เยอะแล้ว ที่เกาะหินงามลองเอามาถ่ายเองบ้างเผื่อเจออะไรที่น่าสนใจที่ไกด์เค้าไม่ได้ถ่ายให้ พอลงน้ำว่ายมาสักพักก็มาเจอดอกไม้ทะเล ลองเฝ้าดูอยู่ไม่กี่วินาที ก็เจอนีโม่โผล่ออกมาเหมือนที่อื่น แม้ว่ามุมของเราไม่สวยเท่าที่ไกด์ดำลงไปถ่ายให้แต่ก็สนุกดีไปอีกแบบ
ดาวทะเล หรือ ปลาดาว ที่จริงไม่อยากเรียกปลาดาวเลย เพราะมันไม่เหมือนปลาสักนิด แต่ในวิกิพีเดียเค้าก็เรียกกันทั้ง 2 ชื่อ ในภาษาอังกฤษก็เรียกได้ 2 ชื่อเหมือนกัน คือ ดาวทะเล หรือปลาดาว (อังกฤษ: Starfish, Seastar) มันเป็นสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลัง เห็นแต่ที่ตายแล้วตัวแข็งแป๊ก พอมาเจอในทะเลจริงๆ มันดูนุ่มๆ อ่อนๆ สยองเหมือนกันแฮะ นอกเหนือจากการไปดูในอควาเรียมแล้ว นี่นับว่าเป็นการเจอดาวทะเลเป็นๆ ในทะเลจริงเป็นครั้งแรก
เกาะอาดัง นี่ก็เป็นอีกเกาะหนึ่งที่เราได้มาแวะ ตอนท้ายของทริปวันเดียวเที่ยวหลีเป๊ะของเรา เกาะอาดังเป็นเกาะที่ใหญ่มากๆ อยู่ไม่ไกลจากเกาะหลีเป๊ะ บนเกาะอาดังเป็นเขตอุทยานฯ จึงไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่สามารถมากางเต็นท์นอนกันได้ บนยอดเขาของเกาะมีจุดชมวิวที่สวยที่สุดอยู่ด้วย ชื่อผาชะโด แต่ทริปนี้เราคงไม่ได้พาขึ้นไปชมเพราะเวลาไม่พอ หลังจากเที่ยวอย่างสนุกสนานเต็มอิ่ม เรามาแวะที่เกาะอาดังเพื่ออาบน้ำจิด ก่อนที่จะนั่งเรือกลับฝั่งใช้เวลานานพอสมควรจะได้สบายตัว อาบน้ำกันแล้วยังมีเวลาให้เดินเล่นชมหาดได้อีกนาน
เอาละ พอหอมปากหอมคอ ที่จริงถ่ายรูปมาเยอะมาก พอต้องมาเขียนเรื่องก็กลัวว่าจะยาวไป รูปเยอะไปโหลดนานไป ก็เลยเอาออกไปบ้าง ตอนคัดรูปบอกเลยว่ารักพี่เสียดายน้องเลือกรูปนานมากกว่าจะออกมาเป็นอัลบัมนี้ได้อย่างที่เห็น
จบทริปเดย์ทริปเกาะหลีเป๊ะ ทัวร์หลีเป๊ะวันเดียวก็เที่ยวได้ เอาไว้เท่านี้ ภาพนี้จากท่าเรือปากบาราที่เราออกเรือไปตอนเช้า กลับมาอีกทีเย็นเลย คุ้มค่าเสียยิ่งกว่าคุ้มสำหรับเงิน 1990 บาท นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเที่ยวเกาะหลีเป๊ะทีน่าสนใจเลยละ ถ้าเวลามีน้อย มีงบน้อย หรือผ่านมาเที่ยวแล้วอยากแวะที่ไหนสักแห่งในสตูล เราคอนเฟิร์มเลยว่า วันเดย์ทริปหลีเป๊ะ เป็นทางเลือกที่ประทับใจสุดๆ อย่างแน่นอน
ขอบคุณที่มา https://www.touronthai.com/article-75000033.html